รูปที่: 1 Porter’s Five Force Framework (Porter, 1998)
พอเราได้ทำการวิเคราะห์สภาวะการแข่งขันของตลาดแล้ว ก็ต้องมาตัดสินใจว่าเราควรเข้าตลาดนี้หรือไม่ ในกรณีที่ยังไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาด หากตัดสินใจที่จะเข้า ก็ต้องมาดูต่อว่าใช้กลยุทธ์การแข่งขันแนว Defensive (การตั้งรับ) หรือ Offensive (การจู่โจม) หากเลือกกลยุทธ์การแข่งขันแนว Defensive ก็จะต้องวางตำแหน่ง (Position) ขององค์กรให้สอดคล้องกับปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เช่น หากองค์กรมีความโดดเด่นทางด้านการขายสินค้าที่มีความแตกต่างสูง (Highly Differentiated) อาจจะเลือกขายเฉพาะสินค้าที่ไม่โดนผลกระทบจากสินค้าทดแทนและขายให้กับผู้ซื้อที่มีอำนาจการต่อรองต่ำเท่านั้น แต่หากเลือกกลยุทธ์การแข่งขันแนว Offensive ก็จะต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงผลกระทบจากปัจจัยทั้ง 5 เช่น การทำ Vertical Integration จะทำให้ความเสี่ยงที่คู่แข่งรายใหม่จะเข้ามาสู่ตลาดลดน้อยลง
ไม่ว่าจะเลือกกลยุทธ์ที่เป็นแนว Offensive หรือ Defensive จุดมุ่งหมายหลักของการวางกลยุทธ์ก็คือการได้มาซึ่งความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในมุมมองของ Porter กลยุทธ์ที่ทำให้ได้มาซึ่งข้อได้เปรียบทางการแข่งขันสามารถแบ่งออกเป็นสามกลยุทธ์หลักๆ ได้แก่
Overall Cost Leadership Strategy
Differentiation Strategy
Focus Strategy
กลยุทธ์ที่1 : Overall Cost Leadership คือ การลดรายจ่ายให้น้อยกว่าคู่แข่ง หากทำสำเร็จก็จะสามารถขายสินค้าในราคาที่เท่ากับคู่แข่งแต่ได้กำไรเยอะกว่า (แนว Defensive) หรือ ลดราคาสินค้าให้ถูกกว่าคู่แข่งแต่ได้กำไรเท่ากัน (แนว Offensive) กลยุทธ์ที่2 : Differentiation Strategy คือ การสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าหรือบริการ ซึ่งมักตามมาด้วยรายจ่ายที่สูงขึ้น หากทำสำเร็จก็จะสามารถขายสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูงกว่าคู่แข่งได้ ส่วนกลยุทธ์ที่3 : Focus Strategy คือ การเจาะกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มที่คู่แข่งส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญ ซึ่งการใช้ Focus Strategy สามารถผสมผสานความเป็น Cost Leader กับ Differentiation เข้าไปด้วยกันได้
เมื่อเปรียบเทียบกลยุทธ์น่านน้ำทั้งสาม แนวคิดของ Porter ซึ่ง Kim และ Mauborgne เรียกว่า Red Ocean Strategy นั้นแตกต่างจากแนวคิด White Ocean Strategy ค่อนข้างมาก เนื่องจาก Porter มองทุกคนเป็นคู่แข่ง เห็นได้จาก Five Force Framework ที่แม้กระทั่งลูกค้ากับ Supplier ยังถูกเอามาคำนึงเป็นปัจจัยทางการแข่งขันที่องค์กรจะต้องหาวิธีทำให้ตัวเองมีอำนาจการต่อรองที่เหนือกว่า ในทางกลับกัน แนวคิด White Ocean Strategy มุ่งเน้นว่าผู้เล่นทุกๆ ราย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือ Supplier สามารถแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันได้ โดยไม่ต้องมีผู้เล่นรายไหนมีอำนาจการต่อรองมากกว่าใคร
ตารางที่ 1 แสดงให้เห็นการเปรียบเทียบกันระหว่างกลยุทธ์น่านน้ำทั้งสาม
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบกลยุทธ์น่านน้ำทั้งสาม
ผมขอทิ้งท้ายบทความบทนี้ว่า ทุกกลยุทธ์มีข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง เพราะฉะนั้น นักกลยุทธ์ที่ดีจะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงข้อดีข้อเสียเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ และเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมต่อสถานการณ์และโอกาส ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความทั้งสามบทในซีรีย์กลยุทธ์น่านน้ำทั้งสามจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่าน และท่านผู้อ่านจะสามารถนำกลยุทธ์ต่างๆไปปรับใช้กับธุรกิจของท่านให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
บทความอื่นๆ –
1. Blue Ocean Strategy: กลยุทธ์น่านน้ำสีคราม:
http://bangkokinnovationhouse.com/index.php/2016-04-14-04-16-04/social-contribution/item/102
White Ocean Strategy: กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว
http://bangkokinnovationhouse.com/index.php/2016-04-14-04-16-04/social-contribution/item/134
References
Porter, M. (1996). What Is Strategy? Harvard Business Review, 4-21.
Porter, M. (1998). Competitive Strategy: Techniques for Analyzing Industries and Competitors. NY: The Free Press.
By Bangkok Innovation House Team